cbox
emommerce
นาฬิกา
ที่อยู่ที่สามารถติดต่ดได้
ปฎิทิน
เกี่ยวกับฉัน
ป้ายกำกับ
- เกาะบูบู จ.กระบี่ (1)
- แกงไตปลา (1)
- แกงเหลือง (1)
- ข้าวยำ (1)
- ความหมายของInternet (1)
- จ.ร้อยเอ็ด (1)
- ที่สนามหลวง (1)
- ประเพณีการชักพระ (1)
- แผนที่ภาคใต้ (1)
- แผนที่ร้อยเอ็ด (1)
- ฝน (1)
- เพลงเมารัก (1)
- ภาคใต้ (1)
- ภาษาและการแต่งกาย (1)
- ลักษณะภูมิประเทศ (1)
- วันครู (1)
- อัสรี หรือซาไก (1)
- อาชีพ(ทำประมง) (1)
- อาชีพ(สวนปาล์ม) (1)
- e-commerce (1)
- e-commerce2 (1)
- e-commerce3 (1)
- FoN (1)
- happy new year 2010 (1)
- welcome (1)
ผู้ติดตาม
Welcome
Blog Archive
Labels
- เกาะบูบู จ.กระบี่ (1)
- แกงไตปลา (1)
- แกงเหลือง (1)
- ข้าวยำ (1)
- ความหมายของInternet (1)
- จ.ร้อยเอ็ด (1)
- ที่สนามหลวง (1)
- ประเพณีการชักพระ (1)
- แผนที่ภาคใต้ (1)
- แผนที่ร้อยเอ็ด (1)
- ฝน (1)
- เพลงเมารัก (1)
- ภาคใต้ (1)
- ภาษาและการแต่งกาย (1)
- ลักษณะภูมิประเทศ (1)
- วันครู (1)
- อัสรี หรือซาไก (1)
- อาชีพ(ทำประมง) (1)
- อาชีพ(สวนปาล์ม) (1)
- e-commerce (1)
- e-commerce2 (1)
- e-commerce3 (1)
- FoN (1)
- happy new year 2010 (1)
- welcome (1)
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวสุภาวดี ทองสุข
ชื่อเล่น น้ำฝน
เกิด 26 พ.ค. 32
อายุ 20 ปี
ชอบ สีชมพู่ และสุนัข
อาหารจานโปรด ส้มตำ เนื้อย่างเกาหลี
ว่างๆๆ ฟังเพลง ดูหนัง
ที่อยู่ 24 ม.20 ต.สีแก้ว อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด45000
จบจาก โรงเรียนสตร์ร้อยเอ็ด
E-mail kim_ji_555@hotmail.com
ศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะวิทยาลัยการเมืองการปกครอง
สาขา นิติศาสตร์
ชั้นปีที่3
อนาคต ทนายความ
คติ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
สร้างกริตเตอร์ ฟังเพลง ดารา เกมส์
Shopping Cart, ร้านค้าสำเร็จรูป, ร้านค้าออนไลน์, E-Commerce ราคาถูก ใช้ง่าย

E-Commerce (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) คืออะไร............
แต่ว่าในปัจจุบันสื่อที่เป็นที่ นิยมและมีความแพร่หลายในการใช้งานคืออินเทอร์เน็ตและมีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการทำการค้ามาก จนทำให้เมื่อพูดถึงเรื่อง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คนส่วนใหญ่ จะเข้าใจไปว่าคือการทำการค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิถีทางการดำรงชีวิตของทุกคน อินเตอร์เนต จะเปลี่ยนวิธีการศึกษาหาความรู้ อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการทำมาค้าขาย อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนวิธีการหาความสุขสนุกสนาน อินเตอร์เนตจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมกันเข้ามาหาอินเตอร์เนต กล่าวกันว่าในปัจจุบันนี้ถ้าบริษัทห้างร้านใดไม่มีหน้าโฮมเพจในอินเตอร์เนตบริษัทห้างร้านนั้นก็ไม่มีตัวตน นั่นคือไม่มีใครรู้จัก เมื่อไม่มีใครรู้จักก็ไม่มีใครทำมาค้าขายด้วย แล้วถ้าไม่มีใครทำมาค้าขายด้วยก็อยู่ไม่ได้ต้องล้มหายตายจากไป ว่ากันว่าอินเตอร์เนตคือแหล่งข้อมูลข่าวสาร และข้อมูลข่าวสารอย่างหนึ่งก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้า ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้านั้นๆ และข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขายผู้ผลิต ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกในการที่จะซื้อสินค้ากันมากขึ้น เช่นการเข้าไปเลือกซื้อจากในเว็บไซต์ มีการเข้าไปเปรียบเทียบราคาสินค้าก่อนที่จะซื้อ หากจะกล่าวว่า “ข่าวสาร” คืออำนาจ ในปัจจุบันนี้ผู้บริโภคก็ได้รับการติดอาวุธอย่างใหม่ที่มีอำนาจมากพอที่จะต่อรองกับผู้ผลิต และผู้จำหน่ายสินค้าได้ผลดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาและพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ในการทำอีคอมเมิร์ซนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นเว็บเพจหรือช่องทางการจำหน่ายสินค้า แต่อีคอมเมิร์ซยังมีความหมายรวมไปถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ลดเวลาที่ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับผู้บริโภค และผู้ค้าส่ง สำนักวิจัยไอดีซี (IDC) ได้ประมาณรายได้ของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B-to-B) ว่าเพิ่มขึ้นจาก 80 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,200 พันล้านบาทในปี พ.ศ. 2542 เป็น 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 40 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2546
http://www.makewebeasy.com/article/HowtoEcommercewebsite1..html
ความรู้เบื้องต้น E-Commerce
E-business คืออะไร
e-Business นั้น คือ การดำเนินกิจกรรมทาง “ธุรกิจ”ต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจ มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าให้ตรงใจ และรวดเร็วและเพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้า และการบริการ เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะมีคำศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ อาทิ
BI=Business Intelligence: การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขัน
EC=E-Commerce: เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต
CRM=Customer Relationship Management: การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท – ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า
SCM=Supply Chain Management: การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค
ERP=Enterprise Resource Planning: กระบวนการของสำนักงานส่วนหลัง และ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดการใบส่งของ การจัดสินค้าคงคลัง แผนและการจัดการการผลิต– ระบบ ERP จะช่วยให้ประบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน
E-Commerce คืออะไร
E-Commerce มีชื่อที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” โดยความหมายของคำว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีผู้ให้คำนิยามไว้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีคำจำกัดความใดที่ใช้เป็นคำอธิบายไว้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีดังนี้
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2542)”
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (WTO, 1998)
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล บนพื้นฐานของ การประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ” (OECD, 1997)
จากความหมายของ e-business กับ e-commerce จะเห็นได้ว่าสองคำนี้มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่อันที่จริงแล้วมีความหมายต่างกันโดย e-business สรุปความหมายได้ว่าคือการทำกิจกรรมทุกๆอย่าง ทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่า แต่ e-commerce จะเน้นที่การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนตเท่านั้น จึงสรุปได้ว่า e-commerce เป็นส่วนหนึ่งของ e-business
ประเภทของ E-Commerce
ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C)คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น
ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป
ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) คือการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น
ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G) คือการประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com
ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C)ในที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย

http://www.ecommerce.or.th/project/e-guide/index.html http://www.thaiwbi.com/topic/E-Ecommerce
http://202.28.94.55/webclass/pub-lesson.cs?storyid=278
ความหมาย
ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ
ความเป็นมา
วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง" จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น "วันครู" โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวัน
การจัดงานวันครู
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กิจกรรมทางศาสนา
2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้ รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์
มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ 2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน
คำปฏิญาณตนของครู
ข้อ 1. ข้าจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
ข้อ 2. ข้อจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ข้อ 3. ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็น
ชมรมสานฝันคนสร้างป่ามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมกับชาวบ้านบ้านป่ากุง และนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองคู จัดโครงการบวชป่าชุมชน โดยมีนิสิตมหาวิยาลัยมหาสารคาม ชาวบ้านหนองกุง และนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองคูเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 คนสืบเนื่องจากชุมชนป่ากุงเป็นป่าผืนเดียวกับป่าโคกหินลาด ซึ่งกำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติเมื่อปี 2539 ซึ่งมีต้นไม้นานาพันธุ์ประกอบไปด้วย ต้นเต็ง รัง เห็ดชนิดต่างๆ และพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ
ภาพบรรยากาศงานวันครูที่สาธิต มมส
ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่ไทย
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์ ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ 1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ 2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา 3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก 4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่ 1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ 2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร 3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น กิจกรรมใน วันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย
สถานที่จัดงานสวัสดีปีใหม่จัดที่สนามหลวง
กทม.จัดงานปีใหม่ชวนประชาชนร่วมทำบุญตักบาตร สักการะพระพุทธนวราชบพิตร ที่สนามหลวง พร้อมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย นั่งรถรางไหว้พระ 9 วัดกทม.กำหนดจัดงานเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2553 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่พี่น้องประชาชนชาว กทม.และนักท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.2552-9 ม.ค.2553 บริเวณท้องสนามหลวงและพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์
นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.52- 1 ม.ค.53 เขตพระนครจัดกิจกรรมที่เน้นวิถีไทยในอดีต ณ สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์ มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายประกอบด้วย ขบวนวัฒนธรรมวิถีความเป็นไทย ขบวนแห่เครื่องราชบรรณาการ 3 สมัย อันได้แก่ สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กิจกรรมลงนามถวายพระพรในการ์ด นิทรรศการ "เรื่องเก่า เล่าด้วย

ภาคใต้
ภาคใต้หรือปักษ์ใต้ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินเดีย เป็นส่วนที่แผ่นดินแคบยื่นออกไป เป็นแหลม ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย กับทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิก มีความยาวจากเหนือจดใต้ประมาณ 750 กิโลเมตร ตั้งแต่เส้นรุ้งที่ 11 องศา 42.2 ลิปดาเหนือ ถึง 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ด้านตะวันออก ส่วนที่กว้างที่สุดประมาณ 200 กิโลเมตร จากระยะ เส้นรุ้งที่ 6 องศา 45 ลิปดาเหนือ บริเวณบ้านสาคร อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ถึงบ้านตะเว ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี

ภาคใต้
ภาคใต้หรือปักษ์ใต้ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินเดีย เป็นส่วนที่แผ่นดินแคบยื่นออกไป เป็นแหลม ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย กับทะเลจีนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิก มีความยาวจากเหนือจดใต้ประมาณ 750 กิโลเมตร ตั้งแต่เส้นรุ้งที่ 11 องศา 42.2 ลิปดาเหนือ ถึง 5 องศา 37 ลิปดาเหนือ ด้านตะวันออก ส่วนที่กว้างที่สุดประมาณ 200 กิโลเมตร จากระยะ เส้นรุ้งที่ 6 องศา 45 ลิปดาเหนือ บริเวณบ้านสาคร อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ถึงบ้านตะเว ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี
ภาคใต้มีภูมิประเทศทุกลักษณะ คือ มีที่ราบสำหรับปลูกข้าว และพืช ผัก ป่าไม้ ภูเขา หาดทราย ชายทะเล น้ำตก ทะเลสาบ เกาะทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ที่มีความงดงามตามธรรมชาติมากมายให้เลือกชม
ทิวเขาที่สำคัญ ได้แก่ ทิวเขาตะนาวศรี ทิวเขานครศรีธรรมราช และทิวเขาสันกาลาคีรีแม่น้ำที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำพุ่มดวง (คีรีรัฐ) แม่น้ำตาปี แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำท่าทอง แม่น้ำตะกั่วป่า แม่น้ำปากพนัง และแม่น้ำตรัง
เนื้อที่
ภาคใต้มีเนื้อที่รวมประมาณ 70,715.2 ตารางกิโลเมตร จังหวัดที่ใหญ่ที่สุด คือ สุราษฎร์ธานี (มีเนื้อที่ 12,891.5 ตารางกิโลเมตร) จังหวัดที่เล็กที่สุด คือ จังหวัดภูเก็ต (มีเนื้อที่ 543 ตารางกิโลเมตร) เกือบทุกจังหวัดมีอาณาเขตส่วนใดส่วนหนึ่งติดต่อทะเล ยกเว้นจังหวัดยะลาที่ไม่มีอาณาเขตติดต่อทะเล
อากาศ อุณหภูมิ
อากาศบริเวณภาคใต้มีฝนในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ และในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งเป็นฤดูหนาวก็ยังคงมีฝนอยู่ โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งตั่งแต่ชุมพรไปจะมีฝนตกมากในฤดูนี้
จึงนับได้ว่าบริเวณดังกล่าวนี้มีสภาพอากาศเป็นแบบฝนเมืองร้อนตลอดปี
ฝนจะมี 2 ฤดู ฤดูหนึ่งในระยะมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน
จะปรากฏชัดทางฝั่งตะวันตกของภาค ส่วนอีกฤดูหนึ่งคือมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือระหว่าง
เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์จะมีฝนตกมากของภาคโดยเฉพาะตั้งแต่ชุมพรลงไป
ป่าไม้ ภาคใต้เป็นป่าดงดิบ (Tropical Evergreen Forests) มีอาณาเขตปกคลุมทั้งบนเขาและ ที่ราบ มีไม้วงศ์ ไม้ยาง
ไม้ตะเคียน ฯลฯ และมีพวกปาล์ม หวาย ตามชายฝั่งทะเล ในที่ดินเลนจะมี ป่าเลนน้ำเค็ม (Mangrove Forests) มีไม้วงศ์ ไม้โกงกาง ไม้ประสก ไม้แสม ฯลฯ
คนพื้นเมือง
1. เงาซาไก มีเหลืออยู่ที่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง และที่อำเภอบันนังสตา อำเภอ เบตง จังหวัดยะลา
2. ชาวเลหรือชาวน้ำ เป็นชนเผ่าทะเลเก่าแก่ของภาใต้ อาศัยอยู่ที่ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ที่ราไวย์ เกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต และตามหมู่เกาะต่าง ๆ ของจังหวัดสตูล
ภาคใต้ประกอบไปด้วย 14 จังหวัด คือ
1. จังหวัดกระบี่ 2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง 4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส 6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา 8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต 10.จังหวัดยะลา
11.จังหวัดระนอง 12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสตูล 14.จังหวัดสุราษฏธานี


สามชายแดนภาคใต้
ขอให้เราทุกคนจงรำลึกถึงพวกเขาเหล่านั้นด้วยนะค่ะ ภาพต่อไปนี้ขอบอกว่าสะเทือนใจ อย่างที่สุดค่ะ บางภาพอาจจะไม่เหมาะสม และคงต้องขอไม่เซนต์เซอร์เสียหน่อย เพื่อให้เกียร์ติแก่วีรบุรุษผู้เสียชีวิต ไม่ให้อุจาดตาจนไป แต่อยากให้ชมด้วยวิจารณญาณค่ะ ว่าต้องการสือให้เห็นถึงความโหดร้ายและยากเข็ญที่พวกเขาได้รับ ด้วยความเคารพ
__ภาคใต้___
ภาคใต้ มีภาษาพูดประจำถิ่นที่ห้วนๆ สั้นๆ เป็นเอกลักษณ์ เรียกว่า “ภาษาใต้หรือแหลงใต้” ส่วนกลุ่มคนที่อยู่แถบชายแดนไทย-มาเลเซีย นิยมพูด ภาษายาวี หรือภาษามาเลเซีย ตัวอย่างภาษาพูดภาคใต้ เช่น แหลง (พูด) หร๋อย (อร่อย) ทำไหร๋ (ทำอะไร) บางท้องถิ่นใช้ภาษายาวี เพราะนับถือศาสนาอิสลาม
การแต่งกายภาคใต้ ภาคนี้มีการแต่งกายต่างกันตามเชื้อชาติ ถ้าเชื้อสายจีนจะแต่งแบบจีน ถ้าเป็นชาวมุสลิม ก็จะแต่งคล้ายกับชาวมาเลเซีย
ปัจจุบันแหล่งทำผ้าแบบดั้งเดิมนั้นเกือบจะสูญหายไป คงพบได้เฉพาะ 4 แหล่งเท่านั้นคือ ที่ตำบลพุมเรี้ยง จังหวัดสุราษฎร์ธานี , อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช , เกาะยอ จังหวัดสงขลา และตำบลนาหมื่นศรี จังหวัดตรังการแต่งกายของชาวใต้ การแต่งกายนั้นแตกต่างกันในการใช้วัสดุ และรูปแบบโดยมีเอกลักษณ์ไปตามเชื้อชาติ ของผู้คนอันหลากหลายที่เข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนอันเก่าแก่แห่งนี้พอจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้
: www.thainame.net/.../fourthai/page2/sount.html

__ เครื่องแบบเต็มยศเด็กอัสรีแท้ๆหรือซาไก __

นี่แหละโฉมหน้า“ตองกัทอาลี” ของดีเมืองเบตง ชาวไทยมลายูในสามจังหวัดภาคใต้จะรู้จัก ตองกัท อาลี (Tongkat Ali) เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่คนมาเลเซียเรียกกัน “ตงกัท” แปลว่าไม้เท้า “อาลี” คือ นักรบที่เก่งกล้า มีพละกำลังแข็งแกร่ง ในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิสลาม ท่านอาลีรบเคียงข้างมากับท่านศาสดานบีมูฮำหมัด (ซ.ล) ดังนั้นชื่อ “ตองกัทอาลี” จึงมีความหมายถึงความทรงพลังและความมีอายุยืน และในภาษา....

เผ่าสุดท้ายที่เหลืออยู่ทางภาคใต้สุด ที่ชอบเร่ร่นอยู่ในป่าไปมาระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๕ เรื่องเงาะป่า พระองค์ได้เค้าเรื่องจาก คนัง ซึ่งเป็นเด็กเงาะคนหนึ่งแถว พัทลุง ที่ได้รับการนำเข้าถวายตัวจนได้เป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
__ประเพณีชักพระ..ของคนใต้__
ประเพณีชักพระ" ของคนใต้ หรือทั่วไปเรียกงานนี้ว่าประเพณีลากพระ ก็แล้วแต่จะเรียกกันไป เราได้เก็บภาพบรรยากาศจากเรือพระบ้านเราที่ อ.รัตภูมิ จนกระทั่งเข้าสู่ อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งถือได้ว่า เป็นสถานที่จัดงานประเพณีนี้ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของภาคใต้ก็ว่าได้ จึงได้มีเรื่องราวและภาพมาฝากเพื่อนๆ ทั้งที่อยู่ไกลและอยู่ใกล้ ได้ชื่นชมกับประเพณีของคนใต้ร่วมกัน
ประเพณีชักพระ เป็นงานบุญที่เกิดจากความเชื่อ จากเรื่องราวทางพุทธประวัติ ที่บอกไว้ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ สรวงสวรรค์ เพื่อโปรดพระมารดา เมื่อครบพรรษาจึงเสด็จกลับ มายังมนุษย์โลก พุทธศาสนิกชน จึงไปเฝ้ารับเสด็จ โดยนำพระราชรถมารับ จากเรื่องราวดังกล่าว ทุกครั้งที่ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พุทธศาสนิกชนจะร่วมสร้างเรือพระ ซึ่งถูกจำลองว่าเป็นพระราชรถ ไปรับเสด็จโดยอัญเชิญพระพุทธเจ้า ประทับบนบุษบกแล้วแห่แหน ไปตามถนนหนทาง จึงเป็นที่มาของประเพณีชักพระนั่นเอง
ประเพณีชักพระ แสดงให้เห็นถึง ความสมัครสมานสามัคคีของชาวบ้าน ในการทำบุญ และร่วมกันลากพระ ทุกครั้งที่มีประเพณีนี้ ชาวบ้านจะร่วมกันชักพระหรือลากพระกันอย่างพร้อมเพรียง
ชาวบ้านมีความเชื่อว่า ถ้าใครได้ลากพระจะได้บุญมาก เมื่อเรือพระผ่านหน้าบ้านใคร คนที่อยู่ในบ้านจะออกมาช่วยลากเรือพระ พร้อมร่วมทำบุญ จึงอิ่มบุญกันถ้วนหน้า





























